หน้าเว็บ

May 8, 2016

USA, paper work

 OMG! จริงๆตั้งใจจะอัพ Topic USA ให้จบก่อนมา
แต่ตอนนี้อยู่มาเป็นเดือนล้าวว ยังไม่ได้อัพเลย



หลังจากกระบวนการจับคู่กับโฮสท์แล้ว (Match)
สิ่งที่ฉันต้องทำต่อไปคือ...
 ทำใบขับขี่สากล (International Driving Permit)
✓ เคลียร์ใบตรวจสุขภาพ
✓ ขอใบรับรองประวัติอาชญากรรม  (CBC)
ขอวีซ่า (J-1 Visa)



ด้วยความที่โฮสท์อยากให้ฉันไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ฉันจะไปได้
เพราะพวกเขาจะไป vacation กันที่ Carribbean Islands
เขาเลยจะเอาฉันไปด้วย ทุกอย่างเลยต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว

ใบขับขี่สากล
ใบขับขี่สากลเป็นอะไรที่ของ่ายมากกกก
เตรียมเอกสาร > ยื่นเอกสารเพื่อออกคำขอ > จ่ายเงิน

เอกสารประกอบการขอ
1. Passport ฉบับปัจจุบัน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
2. บัตรประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
3. ใบขับขี่ส่วนบุคคล (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
4. รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 รูป
5. ค่าธรรมเนียม 505 บาท

โดยขับขี่ส่วนบุคคลที่ใช้ประกอบการขอนั้น...
ต้องยังไม่หมดอายุ และต้องเป็นขับขี่แบบ 5 ปี หรือ ตลอดชีพเท่านั้น
สำหรับใครที่มีใบขับขี่แบบ 1,2 ปี สามารถเปลี่ยนเป็น 5 ปีได้ล่วงหน้า 90 วันก่อนวันหมดอายุ

สามารถขอใบขับขี่สากลทั้งจักรยานยนต์ และ รถยนต์ได้ในครั้งเดียวกัน
โดยเสียค่าธรรมเนียมเท่าเดิมคือ 505 บาท (แต่อย่าลืมแนบสำเนาใบขับขี่ไปทั้ง 2 ชนิด)

ใบขับขี่สากลมีอายุ 1  ปีนับตั้งแต่วันที่ออก
แต่สำหรับการเอามาใช้ในอเมริกานั้นขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐ
บางรัฐไม่สนใจ บางรัฐ 1 เดือน บางรัฐ 3 เดือน เป็นต้น

 อย่างรัฐที่ฉันอยู่ตอนที่ฉันยื่นสอบใบขับขี่ เขาก็ไม่ได้สนใจใบขับขี่สากลของฉันเลย
ตอนโฮสท์แด็ดเพิ่มชื่อฉันในประกันรถ ก็ยังใช้ใบขับขี่ไทยแทนเลย
(สำหรับบางคนที่ agency บังคับให้มีแล้วยังทำที่ขนส่งไม่ได้ แล้ว agency แนะนำบริษัทมาให้ทำ
ในราคา 4,xxx-6,xxx บาท บอกตรงน้ีเลยค่ะ ไม่ต้องทำ ทำมาก็ไม่ได้การยอมรับ
ไปขนส่งเสีย 25 บาท ค่าออกหนังสือรับรองว่าเรามีใบขับขี่ที่ไทยดีกว่า)



ใบตรวจสุขภาพ
ใบตรวจสุขภาพของฉันเป็นแบบฟอร์มที่ agency ให้มา เอามาให้หมอกรอก
ด้วยความที่นึกครึ้มอะไรไม่รู้ ตอนที่ฉันตรวจสุขภาพตอนยื่นใบสมัคร ฉันไปโรงพยาบาลรัฐ
แล้วคือแบบคนเยอะมาก แน่นมาก รอคิวนานมากก (ตามแบบฉบับโรงพยาบาลรัฐของจังหวัด)

หลังจากกระบวนการจับคู่แล้ว
ฉันต้องเอาใบตรวจสุขภาพมากรอกเพิ่มเพราะว่าหมอกรอกให้ไม่ครบ
แล้วด้วยความที่เจ้าหน้าที่ของ agency ไม่ตรวจเช็คให้ดี ไม่ตรวจให้ละเอียด
ทำให้ฉันต้องกลับมาโรงพยาบาลอีกเป็นครั้งที่ 4-5 (ครั้งสุดท้ายที่ฉันแก้นั้น ฉันคิดว่าถ้าให้แก้อีกจะด่า)

ฉันไม่ใช่คนก้าวร้าวอะไร
แต่ตั้งแต่ครั้งที่ 2 ที่ฉันเอาใบกลับมาให้หมอกรอกเพิ่ม หมอกรอกเสร็จฉันรีบถ่ายส่งให้ทันที
บอกฉันว่าครบแล้ว แต่ผลสรุปคือให้กลับมาครั้งที่ 3
ครั้งที่ 3 ฉันถ่ายส่งให้ ถามย้ำแล้วย้ำอีก
วันที่ฉันไปส่งเอกสารใบจริงฉันก็ถามแล้วว่าโอเคใช่ไหม ก็บอกว่าโอเค รับเอกสารฉันไว้
หลังจากนั้นโทรมาบอกให้ฉันเอาไปแก้อีก ฉันก็ไปเป็นครั้งที่ 4 ถามแล้วก็บอกว่าครบ
หลังจากนั้นก็ยังมีครั้งที่ 5 ที่ให้ฉันกลับมาแก้อีก

***  มีคำหยาบ กรุณาเลื่อนผ่านไป ***
ขอด่า agency ตรงนี้เลยว่า
1. ทำไมมึงไม่เอาชื่อโรงพยาบาลมาเลยว่าตรวจที่ไหนจะโอเค 
เพราะอิแบบฟอร์มแปลกประหลาดของมึงเนี่ย หมอทุกคนไม่ได้รับรู้ด้วยนะคะ
2. ทำไมมึงไม่ทำตัวอย่างมาเลย ว่าต้องกรอกอะไรยังไงบ้าง มีช่องให้กรอกเป็นล้าน
นี่ไม่โทษหมอด้วย เพราะฉันก็เห็นด้วยกับหมอ อะไรคือ NO/ Has disease อยู่ด้วยกัน ต่อท้ายด้วย Date
พอหมอตรวจไม่เจอโรคก็ติ๊ก NO เฉยๆ 
เสือกให้กรอกวันที่ด้วย คือไม่ได้เป็นโรคไหมล่ะ จะให้กรอกวันที่ทำไม กรอกก็เหมือนเคยเป็นป่ะ
3. อีเหี้ยเจ้าหน้าที่ ขอด่ามึงตรงนี้เลยกับการเสียเวลาชีวิตของกู
เป็นห่าไรทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ปากก็บอกรีบส่งมาให้พี่ดู จะได้ไม่ต้องกลับไปหลายรอบ
กูถามหน่อย ส่งไปมึงเปิดดูไหม ต้องจิกกี่ล้านรอบ ดูก็ดูแบบใช้ตีนดู บอกว่าครบแล้วๆ แล้วเป็นไง
กูต้องกลับมาโรงพยาบาลอีกรอบ อีปอป

ขอบคุณพี่หมอมากๆที่ช่วยแก้แล้วแก้อีก

ใบรับรองประวัติอาชญากรรม 
อันนี้ต้องขอที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น ขั้นตอนคือ... 
เตรียมเอกสาร>กรอกแบบฟอร์ม>พิมพ์ลายนิ้วมือ>ถ่ายรูป>ยื่นเอกสาร>ชำระเงิน

เอกสารประกอบการขอ
1. Passport ฉบับปัจจุบัน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
2. บัตรประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
3. ทะเบียนบ้าน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
4. รูปถ่ายวีซ่า 2 รูป
5. Social Security Letter และ Letter of Program Participation
6.  Host Family Application พร้อมรูปถ่ายขนาดใหญ่ 1 A4
7.  หนังสือส่งตัวจากบริษัท
8. สำเนา DS-2019

ค่าธรรมเนียม 100 บาท ในกรณีที่ให้ส่งทางไปรษณีย์เสียเพิ่มอีก 50 บาท



วีซ่า J-1



ของฉันดีหน่อยที่ agency ช่วยเรื่องนี้ได้มาก
โดยให้ไปกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ (จะเสร็จหรือไม่เสร็จก็ได้) เพื่อเอาเลข AA
และใบเสร็จการชำระเงินสำหรับการจองวันสัมภาษณ์

agency ฉันมีตัวอย่างการกรอกมาให้เลย
การทำใบสมัครออนไลน์จึงไม่ยากเท่าไร

วันสัมภาษณ์ก็เตรียมเอกสารไปให้ครบถ้วน โดยเฉพาะ...
Passport, DS-2019, Social Security Letter, ใบนัดวันสัมภาษณ์, ใบยืนยันที่เรากรอกออนไลน์มา

วันสัมภาษณ์ไปถึงก่อนเวลาสัมภาษณ์สัก 1 ชั่วโมงน่าจะกำลังดี
เพราะที่ต่อแถวกันหน้าสถานฑูตนั้น จะมีเจ้าหน้าที่เดินมาเรียกคิวตามเวลาสัมภาษณ์ที่เรานัดไว้
โดยจะขอดู passport, ใบนัดของเรา

หลังจากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาถามว่าเรามีสิ่งของต้องห้ามอะไรไหม
พอผ่านเข้าไปตรงนี้ถ้าใครมีโทรศัพท์อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์จะสามารถฝากไว้ได้
โดยฝากโทรศัพท์ได้แค่ 1 เครื่องเท่านั้น (เตรียมบัตรประชาชนหรือใบขับขี่ไปแลกด้วยละ)

หลังจากนั้นก็จะเป็นการตรวจอาวุธ สิ่งของต้องห้ามต่างๆ
สามารถเเอากระเป๋าเข้าไปได้นะ แต่ห้ามใบใหญ่

แล้วก็จะเดินไปอีกอาคารหนึ่ง ซึ่งจะมีเก้าอี้ให้นั่งรอ
ก่อนถึงคิวนัดเรา 15-30 นาที

เจ้าหน้าที่จะเรียกไปเช็คเอกสารพร้อมกับเรียงเอกสารให้
และให้หมายเลขพัสดุems มากับซองที่เราได้ อันนี้เราต้องจดไว้นะ

พอรับซองเสร็จเรียบร้อยก็จะเดินตามป้ายเข้าไปอีกห้อง
ขั้นตอนที่ 1 แสกนลายนิ้วมือ 10 นิ้วพร้อมตอบคำถามนิดหน่อย
 ขั้นตอนที่ 2 ก็แสกนนิ้วบางนิ้ว
ขั้นตอนที่ 3 เป็นการสัมภาษณ์แล้ว มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
แต่ J-1 ส่วนใหญ่จะโดนภาษาอังกฤษนะ

ของฉันเจ้าหน้าที่ไม่ขอดูเอกสารอะไรเพิ่มเลยนอกจาก...
passport, DS-2019 และก็ถามคำถามฉันว่า
ไปทำอะไร ไปรัฐไหน ลองเล่าเกี่ยวกับโฮสท์ฟังหน่อย อ่านคู่มือหรือยัง เบอร์ฉุกเฉินเบอร์อะไร
แค่นี้จริงๆ แล้วฉันแบบยังงงๆไม่คิดว่าเขาจะถามแค่นี้ แล้วก็กลัวเขาฟังฉันไม่รู้เรื่องด้วย

แต่เขาดันตอบฉันกลับมาว่า Congratulation!
แบบเห้ยผ่านแล้วหรอ ผ่านง่ายจัง ไม่ขอดูเอกสารไรเพิ่มด้วย
(เพราะฉันกลัวมาก พี่ที่agencyเคยบอกว่ามีน้องไม่ผ่านด้วย เพราะ เรียนยังไม่จบ)

ดีใจจนทำอะไรไม่ถูกอ่ะ เพราะฉันกลัววมากๆ ตื่นเต้นมากๆ
โดยเฉพาะ 2 คนก่อนหน้าฉันที่เข้าช่องเดียวกันก็ไม่ผ่านทั้งคู่
เสียดายเงินค่าสมัครด้วยถ้าไม่ผ่าน

แต่สุดท้ายย...
ฉันก็ผ่านแล้วเว้ย
รีบออกมาโทรศัพท์ไปบอกพ่อแม่ และก็พี่ที่มาส่งเลย  :)

***สำหรับคนที่หาที่ฝากของ ที่ตลาดใกล้ๆนั้นมีหลายร้านเลย
ลองเลือกดูนะ ฉันว่ามันก็ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไร แต่ก็ไม่มีอะไรหาย***




  


No comments:

Post a Comment