หน้าเว็บ

May 8, 2016

Post Card




ไม่รู้ว่าอยู่ๆตัวเองให้ความสนใจกับโปสการ์ดตั้งแต่เมื่อไร
.
.
.
อาจจะเป็นเพราะ... เสพงานพี่พิมพาห์(แองจี้)ที่ทำโปสการ์ดขายมากไป
อาจเป็นเพราะ... ไปนั่งรอเพื่อนส่งโปสการ์ดในวันนั้น
อาจเป็นเพราะ... เพื่อนทำโปสการ์ดจากรูปที่ตัวเองถ่ายแจก

อยู่ๆก็มีความคิดวูบหนึ่งเข้ามาในหัวว่าอยากส่งโปสการ์ดให้เพื่อน
เหมือน ส.ค.ส สวัสดีปีใหม่

ก็เลยกลายเป็นโปสการ์ดกากๆ
จากลายเส้นกากๆของตัวเอง :)




และที่ดีใจที่สุดคือ...
เราได้โปสการ์ดจากพี่พิมพาห์เพราะเราไปตอบแบบสอบถามทีสิสของพี่เขา

แบบปลื้มมากอ่ะะะ ><


USA, paper work

 OMG! จริงๆตั้งใจจะอัพ Topic USA ให้จบก่อนมา
แต่ตอนนี้อยู่มาเป็นเดือนล้าวว ยังไม่ได้อัพเลย



หลังจากกระบวนการจับคู่กับโฮสท์แล้ว (Match)
สิ่งที่ฉันต้องทำต่อไปคือ...
 ทำใบขับขี่สากล (International Driving Permit)
✓ เคลียร์ใบตรวจสุขภาพ
✓ ขอใบรับรองประวัติอาชญากรรม  (CBC)
ขอวีซ่า (J-1 Visa)



ด้วยความที่โฮสท์อยากให้ฉันไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ฉันจะไปได้
เพราะพวกเขาจะไป vacation กันที่ Carribbean Islands
เขาเลยจะเอาฉันไปด้วย ทุกอย่างเลยต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว

ใบขับขี่สากล
ใบขับขี่สากลเป็นอะไรที่ของ่ายมากกกก
เตรียมเอกสาร > ยื่นเอกสารเพื่อออกคำขอ > จ่ายเงิน

เอกสารประกอบการขอ
1. Passport ฉบับปัจจุบัน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
2. บัตรประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
3. ใบขับขี่ส่วนบุคคล (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
4. รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 รูป
5. ค่าธรรมเนียม 505 บาท

โดยขับขี่ส่วนบุคคลที่ใช้ประกอบการขอนั้น...
ต้องยังไม่หมดอายุ และต้องเป็นขับขี่แบบ 5 ปี หรือ ตลอดชีพเท่านั้น
สำหรับใครที่มีใบขับขี่แบบ 1,2 ปี สามารถเปลี่ยนเป็น 5 ปีได้ล่วงหน้า 90 วันก่อนวันหมดอายุ

สามารถขอใบขับขี่สากลทั้งจักรยานยนต์ และ รถยนต์ได้ในครั้งเดียวกัน
โดยเสียค่าธรรมเนียมเท่าเดิมคือ 505 บาท (แต่อย่าลืมแนบสำเนาใบขับขี่ไปทั้ง 2 ชนิด)

ใบขับขี่สากลมีอายุ 1  ปีนับตั้งแต่วันที่ออก
แต่สำหรับการเอามาใช้ในอเมริกานั้นขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐ
บางรัฐไม่สนใจ บางรัฐ 1 เดือน บางรัฐ 3 เดือน เป็นต้น

 อย่างรัฐที่ฉันอยู่ตอนที่ฉันยื่นสอบใบขับขี่ เขาก็ไม่ได้สนใจใบขับขี่สากลของฉันเลย
ตอนโฮสท์แด็ดเพิ่มชื่อฉันในประกันรถ ก็ยังใช้ใบขับขี่ไทยแทนเลย
(สำหรับบางคนที่ agency บังคับให้มีแล้วยังทำที่ขนส่งไม่ได้ แล้ว agency แนะนำบริษัทมาให้ทำ
ในราคา 4,xxx-6,xxx บาท บอกตรงน้ีเลยค่ะ ไม่ต้องทำ ทำมาก็ไม่ได้การยอมรับ
ไปขนส่งเสีย 25 บาท ค่าออกหนังสือรับรองว่าเรามีใบขับขี่ที่ไทยดีกว่า)



ใบตรวจสุขภาพ
ใบตรวจสุขภาพของฉันเป็นแบบฟอร์มที่ agency ให้มา เอามาให้หมอกรอก
ด้วยความที่นึกครึ้มอะไรไม่รู้ ตอนที่ฉันตรวจสุขภาพตอนยื่นใบสมัคร ฉันไปโรงพยาบาลรัฐ
แล้วคือแบบคนเยอะมาก แน่นมาก รอคิวนานมากก (ตามแบบฉบับโรงพยาบาลรัฐของจังหวัด)

หลังจากกระบวนการจับคู่แล้ว
ฉันต้องเอาใบตรวจสุขภาพมากรอกเพิ่มเพราะว่าหมอกรอกให้ไม่ครบ
แล้วด้วยความที่เจ้าหน้าที่ของ agency ไม่ตรวจเช็คให้ดี ไม่ตรวจให้ละเอียด
ทำให้ฉันต้องกลับมาโรงพยาบาลอีกเป็นครั้งที่ 4-5 (ครั้งสุดท้ายที่ฉันแก้นั้น ฉันคิดว่าถ้าให้แก้อีกจะด่า)

ฉันไม่ใช่คนก้าวร้าวอะไร
แต่ตั้งแต่ครั้งที่ 2 ที่ฉันเอาใบกลับมาให้หมอกรอกเพิ่ม หมอกรอกเสร็จฉันรีบถ่ายส่งให้ทันที
บอกฉันว่าครบแล้ว แต่ผลสรุปคือให้กลับมาครั้งที่ 3
ครั้งที่ 3 ฉันถ่ายส่งให้ ถามย้ำแล้วย้ำอีก
วันที่ฉันไปส่งเอกสารใบจริงฉันก็ถามแล้วว่าโอเคใช่ไหม ก็บอกว่าโอเค รับเอกสารฉันไว้
หลังจากนั้นโทรมาบอกให้ฉันเอาไปแก้อีก ฉันก็ไปเป็นครั้งที่ 4 ถามแล้วก็บอกว่าครบ
หลังจากนั้นก็ยังมีครั้งที่ 5 ที่ให้ฉันกลับมาแก้อีก

***  มีคำหยาบ กรุณาเลื่อนผ่านไป ***
ขอด่า agency ตรงนี้เลยว่า
1. ทำไมมึงไม่เอาชื่อโรงพยาบาลมาเลยว่าตรวจที่ไหนจะโอเค 
เพราะอิแบบฟอร์มแปลกประหลาดของมึงเนี่ย หมอทุกคนไม่ได้รับรู้ด้วยนะคะ
2. ทำไมมึงไม่ทำตัวอย่างมาเลย ว่าต้องกรอกอะไรยังไงบ้าง มีช่องให้กรอกเป็นล้าน
นี่ไม่โทษหมอด้วย เพราะฉันก็เห็นด้วยกับหมอ อะไรคือ NO/ Has disease อยู่ด้วยกัน ต่อท้ายด้วย Date
พอหมอตรวจไม่เจอโรคก็ติ๊ก NO เฉยๆ 
เสือกให้กรอกวันที่ด้วย คือไม่ได้เป็นโรคไหมล่ะ จะให้กรอกวันที่ทำไม กรอกก็เหมือนเคยเป็นป่ะ
3. อีเหี้ยเจ้าหน้าที่ ขอด่ามึงตรงนี้เลยกับการเสียเวลาชีวิตของกู
เป็นห่าไรทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ปากก็บอกรีบส่งมาให้พี่ดู จะได้ไม่ต้องกลับไปหลายรอบ
กูถามหน่อย ส่งไปมึงเปิดดูไหม ต้องจิกกี่ล้านรอบ ดูก็ดูแบบใช้ตีนดู บอกว่าครบแล้วๆ แล้วเป็นไง
กูต้องกลับมาโรงพยาบาลอีกรอบ อีปอป

ขอบคุณพี่หมอมากๆที่ช่วยแก้แล้วแก้อีก

ใบรับรองประวัติอาชญากรรม 
อันนี้ต้องขอที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น ขั้นตอนคือ... 
เตรียมเอกสาร>กรอกแบบฟอร์ม>พิมพ์ลายนิ้วมือ>ถ่ายรูป>ยื่นเอกสาร>ชำระเงิน

เอกสารประกอบการขอ
1. Passport ฉบับปัจจุบัน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
2. บัตรประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
3. ทะเบียนบ้าน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
4. รูปถ่ายวีซ่า 2 รูป
5. Social Security Letter และ Letter of Program Participation
6.  Host Family Application พร้อมรูปถ่ายขนาดใหญ่ 1 A4
7.  หนังสือส่งตัวจากบริษัท
8. สำเนา DS-2019

ค่าธรรมเนียม 100 บาท ในกรณีที่ให้ส่งทางไปรษณีย์เสียเพิ่มอีก 50 บาท



วีซ่า J-1



ของฉันดีหน่อยที่ agency ช่วยเรื่องนี้ได้มาก
โดยให้ไปกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ (จะเสร็จหรือไม่เสร็จก็ได้) เพื่อเอาเลข AA
และใบเสร็จการชำระเงินสำหรับการจองวันสัมภาษณ์

agency ฉันมีตัวอย่างการกรอกมาให้เลย
การทำใบสมัครออนไลน์จึงไม่ยากเท่าไร

วันสัมภาษณ์ก็เตรียมเอกสารไปให้ครบถ้วน โดยเฉพาะ...
Passport, DS-2019, Social Security Letter, ใบนัดวันสัมภาษณ์, ใบยืนยันที่เรากรอกออนไลน์มา

วันสัมภาษณ์ไปถึงก่อนเวลาสัมภาษณ์สัก 1 ชั่วโมงน่าจะกำลังดี
เพราะที่ต่อแถวกันหน้าสถานฑูตนั้น จะมีเจ้าหน้าที่เดินมาเรียกคิวตามเวลาสัมภาษณ์ที่เรานัดไว้
โดยจะขอดู passport, ใบนัดของเรา

หลังจากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาถามว่าเรามีสิ่งของต้องห้ามอะไรไหม
พอผ่านเข้าไปตรงนี้ถ้าใครมีโทรศัพท์อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์จะสามารถฝากไว้ได้
โดยฝากโทรศัพท์ได้แค่ 1 เครื่องเท่านั้น (เตรียมบัตรประชาชนหรือใบขับขี่ไปแลกด้วยละ)

หลังจากนั้นก็จะเป็นการตรวจอาวุธ สิ่งของต้องห้ามต่างๆ
สามารถเเอากระเป๋าเข้าไปได้นะ แต่ห้ามใบใหญ่

แล้วก็จะเดินไปอีกอาคารหนึ่ง ซึ่งจะมีเก้าอี้ให้นั่งรอ
ก่อนถึงคิวนัดเรา 15-30 นาที

เจ้าหน้าที่จะเรียกไปเช็คเอกสารพร้อมกับเรียงเอกสารให้
และให้หมายเลขพัสดุems มากับซองที่เราได้ อันนี้เราต้องจดไว้นะ

พอรับซองเสร็จเรียบร้อยก็จะเดินตามป้ายเข้าไปอีกห้อง
ขั้นตอนที่ 1 แสกนลายนิ้วมือ 10 นิ้วพร้อมตอบคำถามนิดหน่อย
 ขั้นตอนที่ 2 ก็แสกนนิ้วบางนิ้ว
ขั้นตอนที่ 3 เป็นการสัมภาษณ์แล้ว มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
แต่ J-1 ส่วนใหญ่จะโดนภาษาอังกฤษนะ

ของฉันเจ้าหน้าที่ไม่ขอดูเอกสารอะไรเพิ่มเลยนอกจาก...
passport, DS-2019 และก็ถามคำถามฉันว่า
ไปทำอะไร ไปรัฐไหน ลองเล่าเกี่ยวกับโฮสท์ฟังหน่อย อ่านคู่มือหรือยัง เบอร์ฉุกเฉินเบอร์อะไร
แค่นี้จริงๆ แล้วฉันแบบยังงงๆไม่คิดว่าเขาจะถามแค่นี้ แล้วก็กลัวเขาฟังฉันไม่รู้เรื่องด้วย

แต่เขาดันตอบฉันกลับมาว่า Congratulation!
แบบเห้ยผ่านแล้วหรอ ผ่านง่ายจัง ไม่ขอดูเอกสารไรเพิ่มด้วย
(เพราะฉันกลัวมาก พี่ที่agencyเคยบอกว่ามีน้องไม่ผ่านด้วย เพราะ เรียนยังไม่จบ)

ดีใจจนทำอะไรไม่ถูกอ่ะ เพราะฉันกลัววมากๆ ตื่นเต้นมากๆ
โดยเฉพาะ 2 คนก่อนหน้าฉันที่เข้าช่องเดียวกันก็ไม่ผ่านทั้งคู่
เสียดายเงินค่าสมัครด้วยถ้าไม่ผ่าน

แต่สุดท้ายย...
ฉันก็ผ่านแล้วเว้ย
รีบออกมาโทรศัพท์ไปบอกพ่อแม่ และก็พี่ที่มาส่งเลย  :)

***สำหรับคนที่หาที่ฝากของ ที่ตลาดใกล้ๆนั้นมีหลายร้านเลย
ลองเลือกดูนะ ฉันว่ามันก็ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไร แต่ก็ไม่มีอะไรหาย***




  


March 18, 2016

USA, I can do it.


จริงๆมีบล็อคที่ draft ไว้เยอะมาก
แต่ไม่มีเวลาเลือกรูปเลยไม่ได้อัพสักที เลยเลือกอันท่ีรูปน้อยที่สุดก่อนแล้วกัน

My Dream Destination: USA
ฉันอยากไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกามาก

ตอน ม.4 ฉันสอบโครงการแลกเปลี่ยน ผ่านขั้นตอนเลือกประเทศ ไปจนถึงขั้นตอนจ่ายเงิน
และฉันก็เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายก่อนจ่ายเงิน
ตอน ม.5 ฉันสอบโครงการแลกเปลี่ยนอีกโครงการที่ได้รับการยอมรับมากกว่าโครงการแรก
และฉันก็ทำมันได้ แต่ฉันกลัวความผิดหวัง(ที่พ่อแม่จะไม่ให้ไป) ฉันเลยเลือกที่จะหยุดอยู่ที่การไม่ไปสัมภาษณ์

.
.
.

ย้อนไปที่เดือนตุลาคม 2557
ก่อนปิดภาคเรียนที่ 1 อุดมศึกษาปีที่ 1
ฉัน: อยากไป work&travel อ่ะ
ก: เห้ยย ไปด้วยดิ แต่กุไม่ค่อยมีเงินอ่ะ
ด้วยความที่อยากให้เพื่อนไปด้วยกัน ฉันจึงพยายามหาโครงการที่มีค่าใช้จ่ายถูกกว่า
จนได้มาเจอกับโครงการนี้ :)

ช่วงที่เราสองคนกำลังหาข้อมูลอยู่นั้น เป็นช่วงเดียวกันที่โครงการมาจัดสัมนาที่โคราช
แต่... เราสองคนก็พลาด เพราะว่ามาเห็นช้าไป

เราสองคนจึงตัดสินใจไปสัมนาที่กรุงเทพฯแทนแล้วกัน
ในวันสัมนาได้มีการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษด้วย
ด้วยความที่ฉันคิดว่าไหนๆก็มาแล้ว ลองสอบดูจะเป็นอะไรไป
และแล้วฉันก็ผ่านมาอย่างหวุดหวิดที่ระดับ 4 พอดีไม่ขาดไม่เกิน

ฉันปล่อยเวลามาเนิ่นนานที่ยังไม่ส่งใบสมัคร
เพราะฉันไม่มีเวลาไปเก็บชม.สักทีเพราะต้องเรียนตลอด ปิดเทอมฉันก็ไปเก็บไม่ได้
วันหยุดก็ห่วงเที่ยวมากกว่า (พูดง่ายๆคือตอนนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจกับมันเต็มที่)

ทุกครั้งที่ฉันคิดจะล้มเลิก คิดจะถอดใจ
พี่เจ้าหน้าที่ก็โทรมาหาฉันอยู่เรื่อยๆว่าไปถึงไหนแล้ว
ฉันประทับใจมากที่พี่เขาโทรมาตามฉันอยู่เรื่อยๆ มันทำให้ฉันมีไฟขึ้นมา
บอกตรงๆว่าฉันก็แอบเกรงใจพี่เขาเหมือนกัน อยากจะบอกว่าไม่ไปแล้วค่ะ
แต่ก็ทำได้แค่ตอบไปเลี่ยงๆว่ากำลังทำอยู่ค่ะ

เดือนกุมภาพันธ์ 2558
ในที่สุด... จุดเปลี่ยนก็มาถึง
เพื่อนฉันลาออกจากมหาวิทยาลัยเพราะเรียนไม่ไหว
ส่วนฉันก็เบื่อหน่ายกับการเรียนเต็มที (ฉันคิดว่าชีวิตเราควรมีอะไรมากกว่าเรื่องเรียน)

ในที่สุดฉันก็เลยตัดสินใจไปเก็บชั่วโมงสักที
ฉันต้องทำทุกอย่าเหมือนคนที่ทำงานจริงๆ เผลอๆยังหนักกว่าอีก
จากเป็นคนตื่นสายฉันก็ต้องตื่นเช้าและกลับบ้านเย็นทุกวัน

จริงๆ หัวหน้างานพร้อมจะเซ็นต์รับรองให้ฉันโดยไม่ต้องทำงานด้วยซ้ำ
แต่พ่อกับแม่ฉันไม่ต้องการแบบนั้น... ท่านอยากให้ฉันได้รู้จักกับโลกความเป็นจริง ชีวิตจริงของคนเรา
ฉันค่อนข้างโชคดีที่ที่บ้านคอยซัพพอร์ทในทุกๆอย่างที่ฉันอยากทำ และท่านเห็นด้วยว่ามันดี
พ่อแม่ฉันไม่สปอยด์ลูกจนเกินไปด้วย อยากได้อะไรอยากซื้ออะไรนอกจากจะคุยกันด้วยเหตุผลแล้ว
ฉันยังต้องมีส่วนร่วมในการออกเงินด้วย เพราะอะไรที่เราได้มาง่ายๆ เรามักจะไม่เห็นค่าของมัน

31 มีนาคม 2558
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันเก็บชั่วโมงที่นี่
ฉันรู้สึกรักและผูกพันธ์กับทุกคนที่นี่มาก เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากที่นี่ ได้รู้ว่าคนมีหลายประเภทมาก
แต่อีกใจฉันก็แอบดีใจที่มันผ่านพ้นไปสักที ฉันจะได้ไม่ต้องตื่นเช้าอีกแล้ว

ฉันปล่อยเวลาผ่านล่วงเลยไปอย่างเปล่าประโยชน์
เพราะฉันกำลังสนุกกับการเดินทาท่องเที่ยว
ฉันไม่ได้สนใจเรื่องการเซ็นต์ใบรับรองเลยสักนิด

เดือนพฤษภาคม 2558
ในที่สุดฉันก็ได้จัดการเรื่องเอกสารจนครบถ้วน
และได้ออนไลน์ตั้งแต่นั้นมา

บอกตรงๆว่าช่วงแรกๆฉันเช็คแอคเค้าท์ของตัวเองทุกวัน
แต่เมื่อเวลามันผ่านไป ฉันก็เข้ามาเช็คบ้างตามโอกาส

.
.
.

เดือนกุมภาพันธ์ 2559
ตลอดเวลาเกือบ 9 เดือนที่ผ่านมา
มีโฮสท์มาถือโปรไฟล์ฉันถึง 14 ครอบครัว
ติดต่อกันจริงๆ 7 ครอบครัว และ skype กันแค่ 5 ครอบครัว

ฉันรู้ว่าข้อด้อยของฉันคือ...
ฉันอายุน้อยเกินไป
ภาษาอังกฤษฉันยังกะเหรี่ยงอยู่เลย

แรกๆฉันก็เสียใจนะที่โฮสท์ไม่เลือก
พยายาม improve ตัวเองเยอะมาก
แต่ผลลัพธ์มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม

ฉันเลยมาลองคิดๆดูว่าโฮสท์ก็เหมือนเนื้อคู่ของเรานั่นแหละ
ถึงเวลาถ้ามันใช่ ทุกอย่างจะใช่อย่างไม่มีข้อแม้
แต่ถ้ามันไม่ใช่ ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่ใช่อยู่ดี

ฉันเห็นคนรอบตัวฉัน คนที่ฉันรู้จักที่ไปกับโครงการนี้
เจอกับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดี  มันทำให้ฉันเองก็กลัวอยู่เหมือนกัน
ขนาดคนอื่นดีกว่าฉันทุกอย่าง ยังเจอแบบนี้ แล้วฉันล่ะ

ฉันกลัวถึงขนาดไม่ตอบโฮสท์ไม่คุยกับใคร เพราะฉันไม่อยากไปแล้ว

ในที่สุดวันของฉันก็มาถึง
ครอบครัวนี้เข้ามาในช่วงที่ฉันงอนพ่อแม่ที่ฉันขอไปเที่ยวแล้วไม่ให้ไป
ตอนนั้นฉันนอยด์มากที่ฉันอายุขนาดนี้แล้ว ไปมาตั้งหลายที่แล้ว มีเพื่อนไปด้วย ทำไมพ่อแม่ไม่ให้
ตั้งแต่ทริปเชียงใหม่ ลงใต้ สุพรรณ 3ทริป เพื่อน3กลุ่ม 3เวลา พ่อแม่ล้วนไม่ให้
เป็นช่วงเดียวกันที่ครอบครัวนี้ถือโปรไฟล์ฉันไว้ และอีเมลล์มาหา

ครั้งแรกสุดฉันต้อง skype กับแด็ด โดยแด็ดบอกว่า 8 โมงที่ประเทศไทยโดยไม่เขียน am/pm
ฉันเลยเข้าใจว่า 8 โมงเช้าวันพรุ่งนี้ แต่ที่ไหนได้...
ตอน2ทุ่มฉันนั่งกินข้าวกับครอบครัวอยู่ แด็ดคอลล์สไกคป์มาพอดี

แบบโคตรไม่พร้อม ยังไม่ได้อ่านข้อมูลเลย
แถมยังสายตั้งแต่นัดครั้งแรกอีก ตายๆๆ
ฉันคิดว่ายังไงเขาก็ไม่เลือกฉันแน่
เพราะเขาบ่นเรื่องภาษาของฉัน

วันต่อมาฉันคุยกับมัม
ซึ่งวันนี้ฉันมาตรงเวลา แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่่ควรเช่นเดิม
หลังจากสไกคป์กันแล้ว มัมรู้สึกถูกชะตากับฉัน แต่ก็ยังมีปัญหากับปัญหาของฉัน
เลยของสไกคป์อีกรอบ และในที่สุดฉันก็ทำมันได้สำเร็จ

แด็ดยอมให้มัมเลือกฉัน
โดยให้ฝึกภาษาจากที่นี่ แล้วไปเรียนสำเนียงเอาที่นู่น

ฉันดีใจมาก ดีใจอย่างบอกไม่ถูก
เพราะฉันประสบความสำเร็จในชีวิตอีกขั้นแล้ว
ฉันจะมีโอกาสได้ทำตามฝันของตัวเองแล้ว


#cantwaittoseeyou
Tira Chsrpp.

January 23, 2016

Chalks day

Today, I just have nothing to do.
It's bullshit, but I want to share my blue hair photos on this blog.

You can click [x] on the right to close this content xoxo

.
.
.

(cr.pinterest)

I have nothing to do, so I would like to try Hair Chalks.
Which I had bought from Daiso for 3 years.

My room is fairly messy, coz it's in renovating process.
Don't panic.

.
.
.
  

Let's Start!













#bullshit
Tira Chsrpp.








January 8, 2016

HNY 2016


สวัสดีปี 2559 อย่างเป็นทางการ !
จริงๆอยากอัพตั้งแต่วันที่ 1 แล้ว 


แต่รู้สึกว่าตัวฉันเองเพิ่งได้เริ่มต้นปีใหม่จริงๆก็วันนี้...
ตั้งแต่วันที่ 1-6 ฉันก็วนเวียนตัวอยู่กับโรงพยาบาล
จนไม่ได้ทำอะไรตามที่ใจต้องการ 
อีกทั้งต้องไปอยู่ที่สวนด้วย ชีวิตฮาร์ดมาก นอนเร็วตื่นเช้าซึ่งมันไม่ใช่ฉันเลย


ปีใหม่ปีนี้เป็นปีที่ฉันจะเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆอย่างจริงจัง (รอบที่ล้าน)
มันไม่ใช่ "คำพูดโง่ๆของเด็กคนหนึ่งอีกแล้ว" 
ปีนี้ฉันจะก้าวสู่เลข 2x ฉันคิดว่าตัวเองควรโตได้แล้ว 
อีกทั้งปีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ๆในชีวิตฉันอีกด้วย คือ...  
ย่าฉันป่วยหนัก พ่อฉันลาออกงานและย้ายไปอยู่กับย่าที่ตจว. แม่ก็ต้องไปๆมาๆระหว่าง2จังหวัด


xx;



01.01.2016
ปีใหม่ปีนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับฉัน
ฉันได้มีโอกาสไปสวดมนต์ข้ามปีกับครอบครัว
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ฉันตื่นเต้นมากกว่าทุกปี คือ ปีนี้เราไปกันครบ 4 คน

ฉันเริ่มต้นปีใหม่นี้ด้วยการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านสวน
ช่วยพ่อดูคนงานบ้าง ช่วยทำงานนิดๆหน่อยๆบ้าง
ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันมองข้ามที่นี่มาตลอด...


ที่บ้านสวนของฉัน...
"หลังบ้านไกลๆจะมองเห็นภูเขา ด้านหน้าเป็นสวนผลไม้ 
ด้านขวาเป็นสวนพริกไทย ด้านซ้ายเป็นสวนแก้วมังกรกับเงาะ 
ประตูบ้านเป็นประตูบานเฟี้ยมต้องเอาไม้ขัดประตูไว้เวลาล็อค 
ก่อนบันไดขึ้นบ้านจะมีบ่อล้างเท้า และบ่อปลาบ่อใหญ่ๆ(ตอนเด็กๆฉันกับญาติชอบลงไปเล่นน้ำในบ่อนี้) 
หลังบ้านเป็นสวนพริกไทย เดินออกจากบ้านไปจะเป็นโรงเก็บปุ๋ย(ฉันชอบเข้าไปเล่นซ่อนหาในนี้) 
ถัดไปเป็นบ่อขยะสำหรับคนในบ้าน เดินเข้าป่าพริกไทยไป 200 เมตรจะเจอสวนเงาะกับมังคุด 
ถัดไปจะเป็นบ่อดิน เดินเลยบ่อดินลงไปข้างล่างจะเป็นตาน้ำที่ไหลลงมาจากเขา 
ฉันเรียกมันว่าน้ำตกหลังบ้าน พวกฉันไปเล่นน้ำที่นี่บ่อยมากๆ เย็นสบาย น้ำเยอะและก็มีแค่พวกฉัน
เท่านั้นที่ได้เล่น (เพื่อนพ่อฉันบอกว่าพ่อก็เคยพามาเล่นเหมือนกัน ผ่านมา 30-40 ปีแล้วก็ยังคิดถึงที่นี่)"








ตอนเด็กๆฉันไม่ชอบที่นี่...
เพราะที่นี่ไม่สบายเหมือนที่บ้านฉัน ฉันต้องนอนบนเตียงนอนแข็งๆ กับพัดลมตัวเล็กๆในมุ้ง
เพราะที่นี่ไม่มี internet อีกทั้งไฟยังดับนานและบ่อยมากๆเวลาพายุเข้า
เพราะที่นี่อยู่ไกลเข้ามาในป่า ไกลจากเมือง ร้านขายของ ทุกๆอย่างดูไกลไปหมด

แต่เชื่อไหม...
ทุกๆครั้งที่พ่อพามา พ่อจะปล่อยฉันกับน้องอยู่ที่นี่ 1-2 อาทิตย์ ฉันไม่อยากมา แต่ฉันก็ไม่เคยอยากกลับ
ทุกๆคนที่นี่ใจดีกับฉันมาก ทุกคนที่นี่ดูรักกันและสนิทกันมาก ดูต่างกับญาติฝั่งแม่ของฉัน



แต่ตอนนี้...
ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่ฉันไม่ชอบตอนเด็กๆกลับเป็นสิ่งที่ฉันโหยหามากที่สุดในตอนนี้
ความรู้สึกตอนที่ฉันไปตอนนี้มันเหมือนกับฉันอยู่ที่บ้าน ความสะดวกสบายเข้าไปถึงอย่างรวดเร็ว
ยังดีที่ยังมีป่าไม้ มีธรรมชาติ มีวิถีชีวิตดั้งเดิมหลงเหลืออยู่บ้าง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันอยากให้เป็นเหมือนเดิม






xx;



02.01.2016
วันนี้ฉันต้องรีบตื่นแต่เช้า มาเยี่ยมย่าที่โรงพยาบาลในตัวเมือง
จากบ้านมาถึงโรงพยาบาลใช้เวลา 40-50 นาทีได้
เวลาเยี่ยมมี 2 ช่วงคือ 06.00-08.00 และ 12.00-18.00 
ฉันต้องมาเยี่ยมให้ทันรอบเช้า และต้องนั่งอยู่จนหมดเวลาเยี่ยมตอนเย็น




ระหว่างนั่งรอแบบง่วงๆเบื่อๆ 
ก็มีคุณตาคนหนึ่งอายุ 67 ปีเป็นคนเวียดนาม แต่เกิดและโตที่เมืองไทย 
มาร้องเพลงสวัสดีปีใหม่และเล่านิทานให้ฟัง 
ใช่! คุณตาเป็นอาสาสมัคร คุณตามาคนเดียว คุณตาตั้งใจมาสร้างรอยยิ้ม มอบความสุขให้กับคนอื่น
และสิ่งที่คุณตาตั้งใจก็เป็นผล เพราะสิ่งคุณตาทำทำให้ฉันหายเบื่อ


ตอนเย็นฉันและน้องออกไปเดินงานกาชาดที่ตรงข้ามโรงพยาบาล
ฉันออกไปทันเห็นพระอาทิตย์ตกที่สวนสาธารณะพอดี
ฉันได้ของกินมาเยอะแยะเลย ทั้งๆที่ฉันและน้องไม่มีกระเป๋าสตางค์ มีเงินติดตัวแค่คนละ 50
ของกินที่นี่อร่อย และราคาถูกมากๆ



xx;



03.01.2016
วันนี้ฉันมาเยี่ยมย่าแต่เช้าเหมือนเดิม
วันนี้หมออนุญาตให้ย่ากลับบ้านได้แล้ว
แต่...วันนี้ฉันจะกลับบ้านแล้ว ฉันเลยไม่ได้อยู่รอพาย่ากลับบ้าน



ตลอดทางกลับ ฉันไม่เจอรถติดเลย
มีแค่บางช่วงที่โดนบีบให้เหลือเลนเดียว(ช่วงขึ้นเขา) แต่ทันทีที่ฉันลงเขามา 
ฝั่งตรงข้ามกับฉันรถติดเยอะและยาวมาก
ระยะทางประมาณ 30 กม. จากถนนสองเลนกลายเป็นสี่เลน ลองนึกภาพดูว่ารถเยอะขนาดไหน





xx;



04.01.2016
วันนี้ฉันมาเรียนวันแรกหลังจากหยุดยาวช่วงปีใหม่
ซึ่งหยุดยาวนี้ยาวเกือบเท่าปิดเทอมของฉันเลย 55

ฉันมาเรียนด้วยความรู้สึกปวดหัวนิดๆโดยไม่รู้สาเหตุ ยิ่งเรียนนานขึ้นเท่าไรฉันยิ่งปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าบทเรียนมันยากนะ แต่มันเป็นเพราะสภาพแวดล้อม

ฉันกลับบ้านมาด้วยสภาพที่แย่พอควร
ชนิดที่เดินเข้าบ้านมาแล้วพ่อทักว่าไม่สบายหรอ
เมื่อมื้อเย็นมาถึง ฉันไม่สามารถกินอะไรได้แม้แต่น้ำ 
ฉันอาเจียนออกมาหมดทุกอย่าง หมอเลยให้แอดมิท :(


xx;



05-06.01.2016
2 วันนี้ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลแบบเปื่อยๆ
สภาพฉันมันแย่มาก ไม่มีแรงจะทำอะไรทั้งนั้น ฉันจึงทำได้แค่นอนกับนอน



ในที่สุดบ่ายวันที่ 6 หมอก็ยอมให้ฉันกลับบ้านได้แล้ว ฉันเลยแวะไปสวัสดีปีใหม่ยายด้วยสักหน่อย


xx;



07.01.2016
วันนี้ฉันกลับมาเรียนตามปกติแล้ว
ทุกอย่างดูเหมือนจะดี แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร
แต่ไม่เป็นไร ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น


#getwellsoon
Tira Chsrpp.